ใบไม้ร่วง…สู่ราก : นวนิยายแห่งการแสวงหาการยอมรับของผู้หญิงคนหนึ่ง
ใบไม้ร่วง…สู่ราก (Falling leave) นวนิยายเชิงอัตชีวประวัติของแอเดอลีน เหยียน มาห์ นักเขียนผู้หญิงชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เกิดโตมาในครอบครัวของเธอที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์การเมืองของจีน นับตั้งแต่ยุคจักรพรรดิองค์สุดท้ายถึงประเทศจีนยุคปัจจุบัน แปลเป็นภาษาไทยโดย ปวีณา วิริยประไพกิจ
นวนิยายเรื่องนี้สะท้อนให้ผู้อ่านเห็นภาพชีวิตและครอบครัวของผู้หญิงคนหนึ่งแอเดอลีน เหยียน มาห์ ผู้ที่ถูกกระทำทั้งจากครอบครัวและจากสังคมรอบด้าน ทั้งยังต้องต่อสู้กับอุปสรรค อคติต่างๆรอบตัวมาตลอดชีวิตเพื่อต้องการให้คนในครอบครัวยอมรับในความสำเร็จของเธอ แต่เธอไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมต่างๆที่โหมกระหน่ำใส่เธอ ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นภาพความอยุติธรรมต่างๆที่แอเดอลีนได้รับ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากเหตุผลประการสำคัญคือเธอเป็นผู้หญิง ทัศนคติและมุมมองในสังคมชาวจีนแผ่นดินใหญ่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เธอจึงเป็นเสมือนผู้ถูกกระทำอยู่ตลอดเวลา เธอถูกกลั่นแกล้งและไม่เป็นที่ยอมรับแม้ในหมู่พี่น้องของเธอเอง และเธอเองก็ตระหนักในความอยุติธรรมต่างๆเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะเธอยอมรับในตอนหนึ่งว่า "ฉันรู้ตัวดีว่าฉันเป็นลูกที่คุณพ่อรักน้อยที่สุด เพราะฉันเป็นเด็กผู้หญิง และที่สำคัญเพราะคุณแม่ต้องมาเสียชีวิตลงเพราะคลอดฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ไม่เป็นที่ถูกใจของคุณพ่อ เหนียง หรือพี่ๆน้องๆ ของฉันแม้แต่นิด แต่ฉันก็ไม่เคยหยุดเชื่อว่า หากฉันพยายามอย่างที่สุดโดยไม่ท้อถอย สักวันหนึ่งคุณพ่อ เหนียง และทุกคนในครอบครัวก็จะภูมิใจในตัวฉัน" (หน้า 85) นอกจากนี้ เหนียง แม่เลี้ยงของเธอเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้ชีวิตของเธอประสบกับความทุกข์มากขึ้น เนื่องจากเหนียงพยายามสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องของเธอเพื่อที่จะให้ปกครองได้ง่ายขึ้น ประกอบกับเหนียงรักลูกของตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะลูกชาย ซึ่งการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างลูกของตนและลูกเลี้ยงของเหนียงสร้างรอยแผลที่กว้างขึ้นและลึกขึ้นในจิตใจของแอเดอลีนตลอดมา แม้ว่าแอเดอลีนจะพยายามทำดีต่อเหนียงเพียงใดก็ไม่อาจลบความเกลียดชังที่เหนียงมีต่อเธอได้เลยสักครั้ง จนกระทั่งเหนียงตายจากไปเธอก็นำความเกลียดที่มีต่อแอเดอลีนไปพร้อมกับเธอด้วย
ความอยุติธรรมต่างๆที่เธอได้รับนั้นมิได้มีเฉพาะแต่ในครอบครัวเธอและในสังคมของชาวจีนเท่านั้น แต่เมื่อเธอเดินทางไปเรียนต่อในประเทศอังกฤษ ความอยุติธรรมต่างๆก็ไม่ได้หายไปจากชีวิตของเธอ เธอก็ต้องเผชิญกับความเกลียดชัง และความไม่เท่าเทียมกันอีก ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงและมาจากจีน ซึ่งเธอได้ระบายความรู้สึกในเรื่องนี้ว่า "การเหยียดสีผิวยังปรากฏอยู่ทั่วไปในช่วงทศวรรษที่ 1950 ในประเทศอังกฤษ … เพื่อนนักเรียนอังกฤษไม่ค่อยสุงสิงกับฉันนัก … บางคนอึดอัด ในขณะที่บางคนถึงกับแสดงอาการดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง…มันยากที่ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อการดูหมิ่นทางเพศและทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง…" (หน้า 164-165)
ตลอดทั้งเรื่องผู้อ่านจะพบว่าแอเดอร์ลีนพยายามที่จะเรียนหนังสืออย่างหนัก เนื่องจากเธอถูกปลูกฝังโดยเหยียเยี่ย(ปู่) และป้าบาบาให้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา โดยเหยียเยี่ยมักจะสอนอยู่ตลอดเวลาว่า "หลานมีชีวิตอยู่ข้างหน้าอีกทั้งชีวิต จงเป็นคนฉลาด ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี และจงเป็นอิสระไม่พึ่งใคร … อย่าจบลงด้วยการถูกจับแต่งงานอย่างลิเดีย หลานต้องเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ไม่ว่าใครจะขโมยอะไรจากเจ้าได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเอาความรู้ไปได้ โลกเราได้เปลี่ยนไปแล้ว หลานต้องสร้างชีวิตของตนเองภายนอกบ้านนะ" (หน้า 143-144) ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าการศึกษาจะช่วยให้เธอได้รับการยอมรับทั้งจากคนในครอบครัว และรวมไปถึงคนรอบข้างด้วย เพราะเธอเชื่อว่าการศึกษาคือทางเดียวที่จะช่วยให้เธอหนีไปจากความอยุติธรรมต่างๆไปสู่ อิสรภาพและความสำเร็จ เธอจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งเรียนสำเร็จจากคณะแพทยศาสตร์จากประเทศอังกฤษ และเดินทางไปทำงาน มีครอบครัวและตั้งรกรากที่อเมริกาในเวลาต่อมา แม้ว่าเธอจะประสบความสำเร็จในการศึกษา อาชีพการงานและครอบครัว หากเธอก็ไม่อาจได้รับสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคือการยอมรับของคนในครอบครัวของเธอ ดังตอนหนึ่งที่เธอสารภาพว่า "สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่ฉันอยากได้ไม่ใช่เงินทองเลย เพราะทั้งบ๊อบและฉันเองก็มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ดีและสวัสดิการที่ดีอยู่แล้ว แต่ความต้องการของฉันเป็นความต้องการพื้นฐานมากกว่านั้นคือ ความอยากจะเป็นที่ยอมรับ ความต้องการที่สุดที่จะมีตัวตนชัดเจนในครอบครัวเป็นการเรียกร้องจากก้นบึ้งของหัวใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกปฏิเสธมาตั้งแต่วัยเด็ก มันคือความต้องการที่มีรากฝังแน่นที่อยากให้พวกเราทุกคนได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความเท่าเทียมกัน ฉันทนความคิดที่ว่าฉันหรือใครบางคนจะต้องถูกกีดกันออกมา จะด้วยเพราะความลำเอียงหรือความไม่แยแสก็ตาม แม้ตัวฉันจะรู้ดีว่าเหนียงไม่ใช่คนดีหรือใจดีอะไร แต่ฉันก็ยังโหยหาการยอมรับจากท่าน เหมือนกับที่ฉันเคยอยากได้ความภูมิใจและการสนับสนุนจากคุณพ่อ ซึ่งในแง่นี้นั้นคุณพ่อและเหนียงถือเป็นบุคคลเดียวกันสำหรับฉัน" (หน้า 312 -313) แต่ความพยายามของเธอเกือบจะไร้ค่า เพราะท้ายที่สุดแล้วเธอก็ถูกตัดออกจากกองมรดกและไม่ได้รับการยอมรับอย่างจริงใจจากครอบครัวของเธออยู่ดี หากแต่การค้นพบพินัยกรรมของพ่อในตอนท้ายเรื่องกลับเป็นสิ่งที่ช่วยตอกย้ำและหล่อเลี้ยงความรู้สึกของเธอให้ดีขึ้น หลังจากที่ถูกทุกคนในครอบครัวปฏิเสธ เธอก็ค้นพบว่าอย่างน้อยก็ยังมีพ่อที่ยังยอมรับเธอเป็นลูกและยังไม่ได้ตัดเธอการกองมรดก การยอมรับของพ่อมีค่าอย่างที่สุดในความรู้สึกของเธอ เพราะมันเท่ากับเป็นการประกาศชัยชนะต่อสิ่งที่เธอต่อสู้และต้องเผชิญมาตลอดชีวิต แม้ว่าสิ่งที่เธอได้รับจากพ่อจะเป็นเพียงกระดาษ ไม่มีเงินทองที่เป็นมรดกจริงๆเหลืออยู่แล้วก็ตาม แต่กระดาษแผ่นเดียวนี่แหละที่ทรงคุณค่าและมีมูลค่าต่อจิตใจของเธอมากกว่ามรดกที่พี่น้องของเธอกำลังได้รับอยู่ในขณะนี้เสียอีก เธอเล่าว่า "บ๊อบและฉันนั่งลงบนขอบเตียงของเหนียง และอ่านพินัยกรรมของคุณพ่อทวนครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคุณพ่ออีกครั้ง ความรู้สึกนี้เป็นเสมือนว่าท่านได้ลุกขึ้นจากหลุมฟังศพมาโอบกอดฉันโดยเฉพาะ ความประสงค์ของท่านทั้งหมดได้บรรเทาความปวดร้าวในใจทีเดียว…ฉันกอดสามีฉันแน่น ในมือยังกำพินัยกรรมของคุณพ่อไม่ปล่อย นี่คือสั่งที่มีความหมายสำหรับฉัน อย่างน้อยที่สุดท่านก็ไม่ได้ละเว้นฉันไว้ บางทีท่านอาจรักฉันจริงๆก็ได้…" (หน้า 333-334)
นวนิยายเรื่องนี้ นอกจากจะสะท้อนภาพชีวิตของแอเดอลีนแล้ว ยังถ่ายทอดให้ผู้อ่านเห็นและเข้าใจทัศนคติและมุมมองของคนจีนและสังคมจีน ไม่ว่าในเรื่องของการให้ความสำคัญกับเพศชายและการเหยียดเพศหญิงได้เป็นอย่างดี ซึ่งตลอดทั้งเรื่องทัศนคติและมุมมองเหล่านั้นถูกเน้นย้ำให้ชัดเจนขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตระหนักถึงความเชื่อการปลูกฝังความคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดมาในสังคมชาวจีนอย่างหนักแน่นและยาวนาน เช่นตอนหนึ่งที่ย่าเล็กกล่าวถึงประเพณีการรัดเท้าของชาวจีนว่า "ตั้งแต่คุณย่าอายุเพียงสามปี ท่านก็ถูกรัดเท้าด้วยผ้าหนาแคบผืนยาวที่รัดตรึง เพื่อฝืนนิ้วทั้งสี่ลงใต้ฝ่าเท้า เหลือแต่นิ้วโป้งโผล่ออกมา ผ้านี้จะถูกดึงให้แน่นทุกวันๆ นานนับสิบๆปี กดนิ้วบีดเท้าให้ม้วนลงอย่างแสนเจ็บปวด ทำให้การเติบโตของเท้าหยุดชะงัก เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นเท้าเล็กๆ อันเป็นสุดยอดปรารถนาของบรรดาหนุ่มชาวจีน ผู้หญิงทั้งหลายจึง 'พิการ' และลักษณะการย่างเดินแบบนวยนาดอ่อนช้อยเกิดเพราะเจ็บ เป็นสัญลักษณ์ของทั้งความจำยอม และความมั่งคั่งของตระกูล…" (หน้า 28) นอกจากนี้ ความกตัญญูต่อพ่อแม่ ความสำคัญของครอบครัว และการยอมรับของคนในครอบครัว นับเป็นแนวคิดของขงจื้อที่คนจีนยึดถือเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิต ดังตอนหนึ่งที่ว่า "ตลอดมานี้เหนียงได้ใช้ความคิดอ่านดั้งเดิมของขงจื้อเรื่องความกตัญญูต่อบิดามารดรและเรื่องการแตกกิ่งก้านสาขาของครอบครัวออกไป ซึ่งถือเป็นกำลังใจสำคัญที่ตรึงคนจีนกับรากเหง้าของตนเองนั้นเพื่อแผ่อิทธิพลของตน…" (หน้า 313)
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแอเดอลีนและครอบครัวของเธอยังช่วยสะท้อนให้ผู้อ่านมองเห็นพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของจีนมากขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากสมัยจักรพรรดิองค์สุดท้ายไปสู่ยุคคอมมิวนิสต์ ซึ่งประวัติศาสตร์ในช่วงต่างๆถูกเล่าและถ่ายทอดจากมุมมองของตัวละครต่างๆในเรื่อง นับตั้งแต่ชีวิตและเรื่องราวของคุณย่าเล็กที่เกิดและเติบโตผ่านยุคต่างๆตั้งแต่จักรพรรดิองค์สุดท้าย สงครามฝิ่น และความเจริญรุ่งเรื่องของเซี้ยงไฮ้ ต่อมาในยุคของพ่อก็พบความเปลี่ยนแปลงต่างๆในประเทศจีนนับตั้งแต่ถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน ซึ่งส่งผลให้พ่อและครอบครัวของเธอตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกง ในขณะที่ป้าบาบายังคงอยู่ในประเทศจีนในยุคคอมมิวนิสต์ ภาพความเปลี่ยนแปลงต่างๆในประเทศจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมถูกสะท้อนผ่านจากมุมมองและเรื่องเล่าที่ป้าบาบาเล่าให้แอเดอลีนฟัง นอกจากนี้ในยุคสุดท้ายของพ่อ และยุคของเจมส์พี่ชายคนที่สาม เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงที่อังกฤษกำลังจะคืนฮ่องกงให้กับจีน ทำให้ผู้มีอันจะกินในฮ่องกงต่างขอโอนสัญชาติและเตรียมย้ายถิ่นฐานจากฮ่องกงไปยังอังกฤษหรือแคนาดาด้วยเหตุนี้ ขณะที่อ่านหนังสือเล่มนี้ผู้อ่านจึงไม่ได้รับรู้เฉพาะข้อมูลทางประวัติศาสตร์แต่เพียงถ่ายเดียว หากเป็นการรับรู้ประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองและความคิดของคนจีนซึ่งได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นโดยตรง ซึ่งมุมมองและทัศนคติของชาวจีนต่อความเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งนับว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจวิธีคิดและวิถีการดำรงชีวิตของคนจีนในช่วงนั้นมากขึ้น
ความน่าสนใจอีกประการในนวนิยายเรื่องนี้ที่มิอาจละเลยไปได้คือ นอกจากผู้เขียนจะนำปรัชญาการดำเนินชีวิตของคนจีนมาเป็นชื่อของบทต่างๆในเรื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเน้นย้ำให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดของแอเดอลีนในแต่ละบทให้ชัดเจนขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดที่แฝงไว้ในคำคมต่างๆได้ชัดเจนขึ้นด้วย ข้อคิด คำคม และปรัชญามิได้มีปรากฏเฉพาะในชื่อบทเท่านั้น หากแฝงและสอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ราวกับสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำรงชีวิตของคนจีนจนไม่อาจแยกกันออก ปรัชญา คติ ความเชื่อและคำสอนต่างๆเหล่านี้นอกจากจะสื่อผ่านภาษาที่งดงามแล้ว ความแหลมคมของความคิดที่สอดแทรกอยู่ก็ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความลุ่มลึกปัญญามากขึ้น หากนำข้อคิดที่ได้รับกลับไปทบทวนและปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตนต่อไป เพราะแนวคิดที่ปรากฏในเรื่องมีความสากลพอ แม้ว่าผู้อ่านที่อยู่ต่างสังคมหรือต่างวัฒนธรรมก็สามารถเข้าใจและเข้าถึงแก่นความคิดเหล่านั้นได้ อาทิ การอธิบายความหมายของคำว่า "เริ่น" (อดทน) ของเหยียเยี่ยว่า "แบ่งตัวอักษร เริ่น เป็นสองส่วน คือบนและล่าง ส่วนบน เตา แปลว่ามีด แต่มีเส้นคาดเป็นปลอกหุ้มอยู่บนใบมีด ส่วนท่อนล่าง ซิน ซึ่งแปลว่า หัวใจ เมื่อเรารวมทั้งสองส่วนด้วยกัน คำนี้ก็กำลังบอกเรื่องราวหนึ่งแก่เรา แม้ลูกชายพ่อจะทำให้พ่อเจ็บปวดร้าวใจ แต่พ่อก็จะปกปิดความเจ็บปวดนั้นไว้และอยู่ต่อไป สำหรับพ่อแล้ว คำว่า เริ่น หรืออดทนนี้ แสดงถึงบทสรุปของวัฒนธรรมและความเจริญของจีนนั่นเอง" (หน้า 105)
ผู้แต่งมิได้จงใจจะให้ผู้อ่านสัมผัสและรับรู้เฉพาะความทุกข์ทนและความอยุติธรรมต่างๆที่แอเดอลีนได้รับเท่านั้น แต่ความอดทน ความพยายาม ความกล้าหาญ และความเข้มแข็งของเธอซึ่งนับว่าเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันให้เธอต่อสู้และก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่ท้อถอยและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆอันเป็นแก่นแท้หรือเป็นกุญแจสำคัญที่ผู้แต่งต้องการสื่อไปยังผู้อ่านเพื่อนำไปปรับใช้กับตนเมื่อจำต้องประสบกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆอีกมากมายในชีวิตต่อไป อารมณ์ชำระใจ(catharsis) ที่ผู้เขียนชดเชยให้กับผู้อ่านในตอนท้ายของเรื่อง ขณะที่แอเดอลีนดูแลป้าบาบาที่ป่วยและกำลังใกล้ตาย เธอได้มีโอกาสฟังนิทานของป้าบาบา ซึ่งนิทานของท่านมิได้กระตุ้นให้เธอมองเห็นและเชื่อมั่นในคุณค่าของเธอเท่านั้น หากเป็นเสมือนมนต์วิเศษที่เข้ามาชุบใจ ทั้งยังนำมาซึ่งความผาสุกและที่พักพิงทางใจของเธอจริงๆด้วย คุณค่าของบทเรียน การตระหนักรู้ และความสุขสงบเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะในหัวใจของเธอเท่านั้น แต่มันได้แผ่กระจายออกมาปกคลุมในหัวใจผู้อ่านทุกดวงที่ร่วมอ่าน เติบโต และทบทวนมันไปพร้อมๆกับเธอด้วย
------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น