วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลองสังกะสี (Tin Drum)





กลองสังกะสี  (Tin Drum)
เครื่องมือในการประท้วงและเยียวยาสังคมของ กรึนเทอร์  กราสส์

            กลองสังกะสี (Tin Drum) วรรณกรรมชิ้นเอกของกรึนเทอร์  กราสส์  (Günter Grass) นักเขียนรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมชาวเยอรมัน  ในปี ค.ศ. 1999  กลองสังกะสีเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกในชุดไตรภาคดานซิกของกราสส์  อันประกอบด้วยวรรณกรรมอีกสองเรื่องคือ แมวกับหนู (Cat and Mouse) และ ปีของหมา (Dog Years) วรรณกรรมทั้งสามเรื่องต่างใช้ฉากและนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองดานซิก  ประเทศโปแลนด์  ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คนไทยส่วนใหญ่อาจจะไม่คุ้นกับชื่อเมืองดานซิกนัก  แต่จะรู้จักเมืองนี้ในฐานะ “ฉนวนโปแลนด์” ที่เป็นเหตุให้ฮิตเลอร์รุกรานโปแลนด์เพื่อที่จะนำ“เสรีนครดานซิก”กลับมารวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตามเหตุผลที่อ้างว่า “เชื้อชาติเดียวกันควรอยู่ร่วมกัน  และคนเยอรมันในนครดานซิกก็ต้องการจะกลับไปรวมกับประเทศของตนตามเดิม”
            กลองสังกะสี  แปลจากวรรณกรรมต้นฉบับภาษาเยอรมันชื่อ Die Blechtrommel  โดย  อรัญญา  โรเซนเบิร์ก  พรหมนอก  นฤมล  ง้าวสุวรรณ  และ ผสุดี  ศรีเขียว  วรรณกรรมเรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในนวนิยายชุดไตรภาคนี้   นวนิยายเรื่องนี้เป็นเสมือนบันทึกชีวิตของออสคาร์  มัทเซราท  ซึ่งขณะที่บันทึกนั้น  เขาใช้ชีวิตเป็นผู้ป่วยในสถาบันบำบัดและฟื้นฟูสภาพจิต  โดยเขาเล่าย้อนกลับไปถึงประวัติครอบครัวก่อนที่ออสคาร์เกิด  ซึ่งบันทึกเริ่มเปิดเรื่องตั้งแต่ยายพบกับตาขณะทำไร่มันฝรั่ง  และจบลงด้วยเหตุผลที่เขาต้องมาอยู่ในสถาบันแห่งนี้    โดยตลอดเรื่องนอกจากที่ผู้อ่านจะได้รู้ เห็น และเข้าใจวิธีคิดและการดำเนินชีวิตของออสคาร์อย่างละเอียดแล้ว  ผู้เขียนยังบรรยายให้เห็นถึงภาพความยุ่งเหยิงของสังคม  ความฟอนแฟะ ความโหดเหี้ยมและการเสื่อมศีลธรรมของคนทั้งในเมืองดานซิก  โปแลนด์ และเยอรมนีในช่วงก่อนเกิดสงคราม  ช่วงสงคราม และช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ทั้วความรุ่งเรืองและหมดอำนาจของฮิตเลอร์ผ่านสายตาของออสคาร์  และตัวละครอื่นๆ ในเรื่อง
            ออสคาร์  มัทเซราท  เด็กชายชาวเมืองดานซิกที่ปฏิเสธการเติบโตของตน   เขาตัดสินใจที่จะหยุดการเติบโตทางร่างกายของตัวเองไว้ในวัย 3 ขวบ  แต่จิตใจและความคิดของเขายังเติบโตขึ้นตามอายุที่เปลี่ยนไป  เหตุผลสำคัญในการปฏิเสธการเติบโตของออสคาร์คือ เขาไม่ต้องการอยากเป็นผู้สืบทอดมรดกเป็นเจ้าของร้านค้าซึ่งเป็นของขวัญจากพ่อ  แต่เขาอยากได้กลองสังกะสีที่เป็นของขวัญจากแม่มากกว่า  นัยสำคัญในเรื่องนี้ที่กราสส์ต้องการเสนอคือ ออสคาร์ปฏิเสธที่จะเป็นทายาทของเยอรมันหรือฮิตเลอร์ตามฝ่ายพ่อ แต่เขาต้องการเป็นทายาทของโปแลนด์ตามฝ่ายแม่มากกว่า  นั่นเท่ากับเป็นการปฏิเสธการมีส่วนร่วมของเขาต่อสังคมอันเลวร้ายและฟอนแฟะที่เกิดขึ้นนี้ด้วย  ตลอดเวลาที่เป็นคนแคระเขามีกลองสังกะสี  คือกลองเด็กเล่นเป็นเพื่อนที่เขาจะนำติดตัวและตีกลองใบนั้นเกือบตลอดทั้งเรื่อง  เราจะพบว่าในช่วงแรกๆ ออสคาร์ใช้กลองสังกะสีเป็นเสมือนเครื่องมือในการประท้วงและตีแผ่ความเลวร้ายต่างๆ ในสังคม  ด้วยเหตุนี้  ภาพของออสคาร์คนแคระและการตีกลองจึงนับเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 2  และความเลวร้ายของสังคมอย่างเป็นรูปธรรมของกราสส์  ซึ่งลักษณะทั่งสองจะปรากฏให้เห็นเกือบตลอดทั้งเรื่องก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้อ่านด้วยเช่นกัน
            ในตอนท้ายเรื่องเมื่อสงครามยุติและเป็นช่วงเวลาที่ออสคาร์ตัดสินใจที่จะเติบโตตามปกติแล้ว  การเติบโตของเขากลับไม่เป็นอย่างที่เขาต้องการ  เพราะเมื่อเขาตัดสินใจที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อทำหน้าที่ปกป้องภรรยาและบุตรของตน  และยอมรับอัลเฟรด  มัทเซราทเป็นพ่อ  แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะปฏิเสธมาโดยตลอด  นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับว่าเป็นลูกหลานของชาวเยอรมัน  ดังนั้น  ร่างกายของเขาจึงเติบโตอย่างผิดปกติ  โดยมีโหนกงอกออกมาจากหลัง  สิ่งนี้นับเป็นสัญลักษณ์ของความเลวร้ายของสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของฮิตเลอร์  ซึ่งถือว่าเป็นบาปขั้นมหันต์ที่ออสคาร์และชาวเยอรมันต้องแบกรับตลอดไป  แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ก่อสงครามหรือไม่ก็ตาม  ในขณะที่ร่างกายของออสคาร์เติบโตผิดปกตินั้น  ช่วงแรกๆ เขาไม่สามารถที่จะตีกลองได้  ต่อมาเมื่อเขาตีกลองได้อีกครั้ง  กลองของเขาก็มิได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องประท้วงสังคมอีกต่อไป  เสียงเพลงจากกลองของเขากลับกลายเป็นการทำหน้าที่ประหนึ่งการชำระใจ (catharsis) หรือการเยียวยาชาวเยอรมันที่ต้องมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดและบาดแผลทางประวัติศาสตร์ในช่วงสงคราม
            กราสส์ไม่ได้วิพากษ์และนำเสนอแต่เฉพาะความโหดเหี้ยมและความเลวร้ายของมนุษย์  และสังคมในช่วงสงครามเท่านั้น  แต่เขายังได้ตั้งคำถามเชิงวิพากษ์และท้าทายต่อแนวคิดและความเชื่อทางคริสต์ศาสนาเป็นระยะๆ  ไปโดยตลอดเรื่องด้วย  การทำเช่นนี้ของกราสส์ดูประหนึ่งเป็นความต้องการที่เขาจะตอกย้ำความคิดเรื่อง “พระเจ้าตายแล้ว” ของนิชเชอร์ (Nietzsche)  นักปรัชญาชาวเยอรมัน ให้หนักแน่นขึ้น  ทั้งนี้  กราสส์ได้ให้ออสคาร์วิพากษ์และท้าทายแนวคิดทางคริสต์ศาสนา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระเยซูที่ว่าพระองค์เพิกเฉยต่อสังคมที่วุ่นวาย  ต่อสงครามและต่อโลกที่โหดเหี้ยม  เพราะแม้ว่าออสคาร์จะนำกลองไปให้พระองค์ท่านตีเพื่อประท้วงสังคมและสงครามเหมือนที่เขาทำ  แต่พระองค์ยังเพิกเฉย  ดังตอนหนึ่งที่ว่า
“... ก่อนอื่นผมได้เอาไม้ตีกลองสอดใส่มือของพระเยซูที่มีช่องทำไว้ขนาดพอเหมาะตั้งตารอให้เกิดสิ่งอัศจรรย์  ท่านจะตีกลองไหม  หรือท่านสามารถตีกลองได้ไหม  หรือท่านได้รับอนุญาตให้ตีกลองไหม  ถ้าท่านไม่ตีกลอง  ท่านก็ไม่ใช่พระเยซูแท้จริง  และหากท่านไม่ตีกลอง  ออสคาร์ก็จะเป็นพระเยซูแท้จริงยิ่งกว่าเขาเสียอีก” (หน้า 210-211)
            ด้วยความหนาของตัวเล่มและความหนักแน่นของสารที่อัดแน่นในงานวรรณกรรมเล่มนี้  ประกอบกับการนำเสนอของกราสส์ที่ให้รายละเอียดในเรื่องของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ทั้งในด้านเวลาและสถานที่  ด้วยเหตุนี้  ผู้อ่านที่จะเข้าใจเรื่องราวโดยตลอดทั้งเรื่องต้องมีพื้นความรู้ ความเข้าใจประวัติศาสตร์ของโปแลนด์  เยอรมนี และยุโรป  ทั้งในช่วงก่อนสงคราม  ช่วงสงคราม  และช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอย่างดี  นอกจากนี้  ผู้อ่านยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ยุโรปด้วยเพื่อที่จะเข้าใจเหตุการณ์และสถานที่ต่างๆ ที่กราสส์กล่าวถึงในเรื่อง  อีกทั้งกราสส์ยังได้สอดแทรกสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านตีความโดยตลอดเรื่อง  การที่ผู้อ่านจะเข้าถึงและซาบซึ้งงานวรรณกรรมเรื่องนี้อย่างดื่มด่ำ  ผู้อ่านต้องอาศัยเครื่องมือที่จะช่วยอย่างหลากหลาย  วรรณกรรมเรื่องนี้นำไม่ได้เสนอเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักและย้อนรำลึกถึงประวัติศาสตร์ร่วมสมัยเท่านั้น  ขณะเดียวกันก็ยังวิพากษ์วิจารณ์คนในสังคมและเผยแก่นแท้ของมนุษย์ผ่านความโหดเหี้ยมและเลวร้ายต่างๆ   ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าวรรณกรรมเรื่องนี้เป็นเสมือนเครื่องมือที่จะช่วยสร้างมุมมองแก่ผู้อ่านในการเผชิญกับโลกอย่างลุ่มลึกขึ้น  ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มวุฒิภาวะของการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและเท่าทันมากขึ้นอีกด้วย

--------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น